Footballdaily365

ร็อดเจอร์ส กับการปรับเปลี่ยนที่คืนชีพ เลสเตอร์

ชนะ 3 เกม เสมอ 1 นัด และแพ้ 6 หน คือผลงานในลีกของ เลสเตอร์ ซิตี้ ในช่วง 10 เกมสุดท้ายที่ผู้จัดการทีมของพวกเขายังมีชื่อว่า โคล้ด ปูแอล

แน่นอนว่ามันเป็นฟอร์มที่เลวร้ายเกินทนจนทำให้ ปูแอล โดนปลดออกจากตำแหน่งในวันที่ 24 กุมภาพันธ์ ปี 2019

ในอีกราว 2 วันหลังจากนั้น เลสเตอร์ ก็ประกาศว่า เบรนแดน ร็อดเจอร์ส จะเข้ามาเป็นกุนซือคนใหม่ของทีม ซึ่งตอนนั้นหลายคนก็ยังไม่เชื่อมั่นว่า

ร็อดเจอร์ส มีดีพอที่จะชุบชีวิตแชมป์ พรีเมียร์ลีก เมื่อฤดูกาล 2015-16 ได้ เพราะถึงแม้เขาจะทำผลงานได้ดีกับ เซลติก จนได้ทริปเปิ้ลแชมป์

รายการภายในประเทศถึง 2 ฤดูกาล แชมป์ลีก แชมป์ สกอตติช คัพ และแชมป์ สกอตติช ลีก คัพ รวมถึงได้แชมป์ สกอตติช ลีก คัพ

ในซีซั่น 2018-19 แต่ภาพลักษณ์ตอนที่ล้มเหลวกับ ลิเวอร์พูล ยังติดตัวเขาอยู่ อย่างไรก็ตาม จนถึงตอนนี้มันก็ต้องบอกว่า ร็อดเจอร์ส

สมควรได้รับคำชมทุกประการจากการที่เขาทำให้ เลสเตอร์ โชว์ฟอร์มได้อย่างสุดยอดจนถึงขนาดชนะในลีกมาแล้ว 8 นัดติดต่อกัน และ

เป็นอันดับ 2 ของลีก สิ่งที่น่าสนใจก็คือ ร็อดเจอร์ส ปรับเปลี่ยนอะไรถึงทำให้ สุนัขจิ้งจอก กลับมามีเขี้ยวที่น่ากลัวอีกครั้ง

ร็อดเจอร์ส กับการปรับเปลี่ยนที่คืนชีพ เลสเตอร์
ร็อดเจอร์ส กับการปรับเปลี่ยนที่คืนชีพ เลสเตอร์

– การขึ้นเกมแบบมีระบบ

ร็อดเจอร์ส กับการปรับเปลี่ยนที่คืนชีพ เลสเตอร์

หนึ่งในสิ่งที่ ปูแอล โดนตำหนิมากที่สุดในตอนที่เขายังคุม เลสเตอร์ อยู่ ก็คือการหวังพึ่งพาเกมสวนกลับเร็วมากเกินไป เพราะพอเจอคู่แข่งที่ถอยไปตั้งรับลึกแล้วนั้น

เลสเตอร์ ก็แทบจะทำอะไรไม่เป็น จริงอยู่ว่าแผนแบบนั้นเคยมีส่วนช่วยให้ เลสเตอร์ ชุดของ เคลาดิโอ รานิเอรี่ สร้างประวัติศาสตร์คว้าแชมป์ พรีเมียร์ลีก มาครองได้

แต่ในยุคของ ปูแอล มันต่างกับยุคของ รานิเอรี่ เพราะในสมัยของกุนซือชาวฝรั่งเศส เลสเตอร์ มีปัญหาด้านเกมรับ แถมพอได้เล่นเกมสวนกลับเร็วจริงๆ ก็

ดันไม่คงเส้นคงวามากพออีก ทั้งนี้ ร็อดเจอร์ส เลือกใช้แผนที่ต่างออกไป เขาเน้นการขึ้นเกมอย่างเป็นระบบและละเอียดตั้งแต่ในฝั่งของตัวเอง ก่อนที่จะค่อยๆ

ผ่านบอลทะลุแดนกลาง ซึ่งที่จริงเขาก็เคยใช้แผนแบบนั้นตอนอยู่กับ เซลติก และถ้วยแชมป์มากมายก่ายกองที่เขาทำได้กับ เซลติก ก็พอจะเป็นหลักฐาน

ที่ช่วยยืนยันได้ระดับหนึ่งว่ามันเป็นแผนที่ดี เอาง่ายๆ ว่าแค่ 5 เกมแรกในยุคของ ร็อดเจอร์ส ทีมแกร่งแห่งถิ่น คิง เพาเวอร์ สเตเดี้ยม ก็ผ่านบอลสำเร็จเฉลี่ยถึง 402 ครั้งต่อเกม

ขณะที่ 5 นัดก่อนหน้าที่ ร็อดเจอร์ส จะเข้ามาคุมทีมนั้น เลสเตอร์ ผ่านบอลเข้าเป้าเฉลี่ย 341 หนต่อนัด หรือถ้าเอาแค่เฉพาะในฤดูกาลนี้ เลสเตอร์ ก็ถือเป็นทีมที่ผ่านบอล

เข้าเป้าเฉลี่ยสูงสุดเป็นอันดับ 4 ของลีก ที่จำนวน 528.1 ครั้งต่อนัด เป็นรอง แมนเชสเตอร์ ซิตี้ 649.3 ครั้งต่อนัด เชลซี 601.9 ครั้งต่อนัด และ ลิเวอร์พูล 579.4 ครั้งต่อนัด เท่านั้น

– ปรับแผงกลาง

ร็อดเจอร์ส กับการปรับเปลี่ยนที่คืนชีพ เลสเตอร์

ตั้งแต่ตอนที่เข้ามาคุม เลสเตอร์ ใหม่ๆ ร็อดเจอร์ส ก็เปลี่ยนแผนจาก 4-2-3-1 ในยุคของ ปูแอล มาเป็น 4-1-4-1 ที่สามารถดัดแปลงระหว่างเกมให้เป็น 4-3-3 ได้แบบรวดเร็ว

และนี่คือสิ่งที่ช่วยเปลี่ยนรูปแบบของ เลสเตอร์ จากหน้ามือเป็นหลังมือ ปูแอล มักจะใช้กองกลางตัวโฮลด์บอล 2 คนอยู่ตลอด โดยที่ให้ เจมส์ แมดดิสัน ยืนอยู่หลัง เจมี่ วาร์ดี้

ประหนึ่งเหมือนเป็นพวกนักเตะหมายเลข 10 แต่พอ ร็อดเจอร์ส เข้ามาแล้วนั้น เขาก็ปรับให้ แมดดิสัน ถ่างออกมาตรงริมเส้นฝั่งซ้ายมากขึ้น ซึ่งมันก็ทำให้ แมดดิสัน มีพื้นที่ว่าง

และโชว์ฟอร์มอันสุดยอดได้ โดยมันยังส่งผลให้ แกเร็ธ เซาธ์เกต ผู้จัดการทีมชาติอังกฤษประทับใจกับฟอร์มของ แมดดิสัน อย่างมาก ต่างกับสมัยในยุคที่ ปูแอล

ยังคุม เลสเตอร์ อยู่ เพราะตอนนั้น เซาธ์เกต บอกเลยว่าการที่ แมดดิสัน รับบทบาทนักเตะหมายเลข 10 คือสาเหตุหลักที่ทำให้เขาไม่เรียก แมดดิสัน ติดทีมชาติ ทั้งนี้ ร็อดเจอร์ส

ตัดสินใจให้ ยูริ ตีเลม็องส์ รับบทบาทเป็นนักเตะหมายเลข 10 แทน แมดดิสัน ซึ่งมันก็ทำให้ ตีเลม็องส์ ฉายแววเด่นตามไปด้วย เพราะเดิมทีเขาก็เป็นคนที่ผ่านบอลได้ดีอยู่แล้ว

และพอมาเล่นในแผนของ ร็อดเจอร์ส มันก็ทำให้ดาวเตะทีมชาติเบลเยียมได้เล่นในพื้นที่สุดท้ายมากขึ้น ขณะที่ วิลฟรีด เอ็นดิดี้ ก็ทำได้สมบูรณ์แบบทั้งในฐานะตัวตัดเกม

และการผ่านบอลอย่างรวดเร็วเมื่อแย่งบอลมาครองได้

– ให้ วาร์ดี้ มีส่วนร่วมมากขึ้น

ร็อดเจอร์ส กับการปรับเปลี่ยนที่คืนชีพ เลสเตอร์

ในสมัยของ ปูแอล เลสเตอร์ ลงเล่นโดยที่ไม่ได้พุ่งความสำคัญไปที่ วาร์ดี้ มากเท่าไหร่ โดยในช่วงนั้นกองหน้าชาวอังกฤษถูกสั่งให้ยืนในแดนหน้าเป็นหลัก

ไม่ต้องมาวิ่งช่วยทำเกม ซึ่งกุนซือชาวฝรั่งเศสมักจะบอกว่ามันเป็นการทำเพื่อช่วยให้โดยรวมแล้วทีมเล่นได้ดีขึ้น แต่สุดท้ายมันไม่ได้เป็นอย่างนั้น

ซ้ำร้ายยังทำให้มีข่าวลือว่า ปูแอล กับ วาร์ดี้ผิดใจกันอีก อย่างไรก็ตาม เรื่องดังกล่าวก็เปลี่ยนไปเลยเมื่อ ร็อดเจอร์ส เข้ามาคุมทีม กุนซือชาวไอร์แลนด์เหนือจัดแผน

โดยที่ให้ วาร์ดี้ วิ่งขึ้นวิ่งลงมากขึ้น และมีส่วนร่วมกับการเล่นมากกว่าเดิม และผลงานของ วาร์ดี้ ที่ฤดูกาลนี้ยิงในลีกไปแล้ว 16 ประตู จนทำให้เขานำเป็นดาวซัลโวสูงสุด

ของ พรีเมียร์ลีก ในตอนนี้ ก็เป็นสิ่งที่ยืนยันแล้วว่าแนวคิดของ ร็อดเจอร์ส เป็นฝ่ายถูก

 

อ่านข่าวฟุตบอล :: ข่าวฟุตบอลน่าสนใจ
ติดตาม Facebook fans page :: Footballdaily365

error: Content is protected !!