Footballdaily365

สุดยอดแข้งแห่งทศวรรษ เปิดโผทีมยอดเยี่ยมโลกแห่งยุค 2010s

จะเรียกทีมรวมดาราโลกก็ว่าได้สำหรับ 11 แข้งต่อไปนี้ที่ทีมงาน football daily365 คัดสรรมาให้แฟนๆ ได้ยลโฉม ไปดูกันเลยว่ามีใครบ้าง?

สุดยอดแข้งแห่งทศวรรษ เปิดโผทีมยอดเยี่ยมโลกแห่งยุค 2010s

ผู้รักษาประตู : มานูเอล นอยเออร์ (บาเยิร์น มิวนิค)

แม้ว่าจะเพิ่งเจ็บไปนานจนทำให้ฟอร์มไม่เหนียวหนึบเท่าเดิม แต่ก็แทบจะไร้ข้อกังขาว่า นอยเออร์ คือนายทวารเบอร์ 1 ของโลกในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา

ในระดับสโมสรเขาก็ได้แชมป์กับ บาเยิร์น มากมายก่ายกอง อย่างเช่นแชมป์ บุนเดสลีกา 7 สมัย,แชมป์ เดเอฟเบ-โพคาล 4 ครั้ง

และแชมป์ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก 1 ครั้ง เป็นต้นและถ้าย้อนไปก่อนหน้านั้นเขาก็เคยได้แชมป์ เดเอฟเบ-โพคาล กับ เดเอฟเบ-ลีกาโพคาล กับ ชาลเก้

อย่างละ 1 หน ด้วย ยิ่งไปกว่านั้น เขายังเป็นหนึ่งในกำลังสำคัญที่ช่วยให้ทีมชาติเยอรมนีได้แชมป์ ฟุตบอลโลก 2014 อีก ซึ่งมันก็ทำให้เขาติดทีมยอดเยี่ยมของ

ฟิฟโปร มากถึง 4 หนในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา

แบ็กซ้าย : มาร์เซโล่ (เรอัล มาดริด)

ถ้าพูดรวมๆ กันทั้งเรื่องความสำเร็จและความยอดเยี่ยมเชิงฝีเท้าตลอดช่วง 10 ปีมานี้ ในตำแหน่งแบ็กซ้ายคงไม่มีใครเหนือไปกว่า มาร์เซโล่ ดาวเตะชาวบราซิเลียน

ที่อยู่รับใช้ เรอัล มาดริด มาตั้งแต่เดือนมกราคมปี 2007 (ย้ายมาจาก ฟลูมิเนนเซ่) โดยเจ้าตัวมีจุดเด่นเรื่องพละกำลังที่วิ่งขึ้นวิ่งลงไม่มีหมด แถมเป็นแบ็กซ้ายที่มีทีเด็ด

เรื่องการทำประตูด้วย (ยิง 36 ประตู จากการลงเล่นให้ เรอัล มาดริด 496 นัด) นอกจากนี้ แข้งวัย 31 ปี ยังคว้าแชมป์ร่วมกับทัพ “ราชันชุดขาว” มากมายมหาศาล

โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับตำแหน่งแชมป์ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก 4 สมัย ( 2013/14,2015/16, 2016/17 และ 2017/18) และ ลา ลีกา 4 สมัย (2006/07, 2007/08, 2011/12 และ 2016/17)

แม้ช่วง 2-3 ปีหลังฟอร์มเริ่มดร็อปลงไป แถมมีปัญหาบาดเจ็บรบกวนแต่ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า มาร์เซโล่ คือสุดยอดแบ็กซ้ายแห่งทศวรรษนี้

กองหลัง : เซร์คิโอ รามอส (เรอัล มาดริด)

ช่วงทศวรรษที่ผ่านมาหากจะกล่าวถึงกองหลังที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดก็ต้องมีชื่อของเซนเตอร์แบ็กคนนี้แน่นอน ดาวเตะทีมชาติสเปนสวมชุด “ราชันชุดขาว” มาตั้งแต่ปี 2005

และ เป็นส่วนหนึ่งในหน้าประวัติศาสตร์ของทีมโดยเฉพาะในช่วง 10 ที่ผ่านมาไม่ว่าจะเป็นการคว้าแชมป์ลาลีกาฤดูกาล 2011/12 และ2016/17, แชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก

ฤดูกาล 2013/14, 2015/16, 2016/17, 2017/18 และแชมป์อื่นๆอีกมากมาย เขายังได้รับแต่งตั้งให้เป็นกัปตันทีมต่อจาก อีเกร์ กาซียาส เมื่อปี 2015 นอกจากนี้ในระดับทีมชาติ

เขายังพาทัพสเปนซิวแชมป์ฟุตบอลโลกปี 2010 และแชมป์ฟุตบอยูโรปี 2012 อีกด้วย สิ่งที่ทำให้เซนเตอร์แบ็กคนนี้โดดเด่นเหนือ คนอื่นนั้นคือการทำประตู

เขาเป็นกองหลังที่ยิงประตูมากที่สุดในประวัติศาสตร์ของทีมมาดริด ซึ่งประตูที่เขายิงได้มักจะมาในช่วงเวลาสำคัญเสมอเช่นการสอยตาข่าย แอต.มาดริด นัดชิงชนะเลิศ ชปล. ปี 2014

เรียกได้ว่าเขามักจะเป็นคนพามาดริดเอาตัวรอดเสมอในยามที่ทีมต้องเจอกับสถานการณ์คับขัน

กองหลัง : จอร์โจ้ คิเอลลินี่ (ยูเวนตุส)

ฟุตบอลอิตาลีนั้นมักจะถูกกล่าวขานกันถึงเรื่องเกมรับซึ่ง จอร์โจ้ คิเอลลินี่ ถือเป็นตัวอย่างของกองหลังชั้นนำของอิตาลีก็ว่าได้ ปราการหลังทัพ “ม้าลาย” รับใช้ทีมมายาวนานถึง 14 ปี

เป็นหนึ่งในกองหลังที่ประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก เขาสร้างป้อมปราการเกมรับคู่กับอีก 2 กองหลังอย่าง เลโอนาร์โด้ โบนุชชี่ และอันเดรียบาร์ซาญี่ โดยตลอด 10 ปีที่ผ่านมานี้

เขาเป็นส่วนสำคัญที่พา ยูเวนตุส แข็งแกร่งถึงขนาดคว้าแชมป์กัลโช่ เซเรีย อา ถึง 8 สมัยติดต่อกัน (2011/12-2018/19) นอกจากนี้เขายังช่วยทีมซิวถ้วยโคปปา อิตาเลีย 4 สมัย

(2014/15-2017/18) รวมถึงแชมป์ซูปเปอร์โคปปาอีก 4 สมัย น่าเสียดายที่ในระดับเวทียุโรปเขายังไม่ได้สัมผัสกับความสำเร็จแม้จะฉิวเฉียดกับการได้แชมป์ ชปล.

หลังพ่ายต่อ เรอัล มาดริด ในฤดูกาล 2016-17 แม้ตอนนี้เขาจะโชคร้ายได้รับบาดเจ็บจนต้องพักยาวถึง 6 เดือนแต่ช่วงทศวรรษที่ผ่านมาต้องยอมรับว่าปราการหลังวัย 35 ปี

ถือเป็นหนึ่งในกองหลังที่แข็งแกร่งที่สุดในประวัติศาสตร์ลูกหนัง

แบ็กขวา : ฟิลิปป์ ลาห์ม (บาเยิร์น มิวนิค)

ฟิลิปป์ ลาห์ม ได้รับโอกาสสำคัญย้ายมาอยู่กับศูนย์ฝึกเยาวชนบาเยิร์น มิวนิค ตั้งแต่ตอนอยู่ 11 ขวบ หลังจากฝึกปรือฝีเท้าจนแกร่งก็ได้มีโอกสลงเล่นเปิดตัวให้”เสือใต้” ชุดใหญ่

ในเดือนพฤศจิกายน 2002 ในฐานะตัวสำรองช่วงท้ายเกม กระนั้นเจ้าตัวก็ยังมีประสบการณ์น้อยทำให้สโมสรส่งไปเล่นกับ สตุ๊ตการ์ท แบบยืมตัวในช่วงซีซั่น 2003/04 และ 2004/05

เพื่อจะได้สั่งสมประสบการณ์ จากนั้นก็กลับมายังต้นสังกัดแม่พร้อมกับค่อยๆ ยึดตำแหน่งตัวจริง และก้าวขึ้นมาเป็นกำลังสำคัญของทีม จนกระทั่งได้สวมปลอกแขนกัปตันทีม

โดยตลอดระยะเวลาตั้งแต่ปี 2002-2017 ลาห์ม ช่วยบาเยิร์น คว้าแชมป์มากมายทั้ง บุนเดสลีกา 8 สมัย, เดเอฟเบ โพคาล 6 สมัย รวมทั้ง ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก 1 สมัย เป็นต้น

กองกลาง : อันเดรส อิเนียสต้า (บาร์เซโลน่า)

อันเดรส อิเนียสต้า มาอยู่ที่ ลา มาเซีย ศูนย์ฝึกสอนลูกหนังของ บาร์เซโลน่า เมื่อปี 1996 ด้วยวัยเพียง 12 ปีเท่านั้น ก่อนจะได้รับโอกาสลงเล่นเปิดตัวกับทีมชุดใหญ่ในปี 2002 ในวัย 18 ปี

หลังจากนั้นในซีซั่น 2004/2005 เขาถูกดันขึ้นมาเล่นชุดใหญ่ถาวร และลงสนามอย่างสม่ำเสมอ จนกระทั่งกลายเป็นหนึ่งในขุนพลกำลังหลักสร้างความยิ่งใหญ่ให้ บาร์ซ่า โดยตลอด 16 ปี

ในถิ่นคัมป์ นู ลงเล่น 674 แมตช์และซัดไป 57 ประตูจากทุกรายการ พร้อมกับคว้าแชมป์รายการสำคัญอย่าง ลา ลีกา 9 สมัย, โกปา เดล เรย์ 6 สมัย และ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก 4 สมัย

จากนั้นในปี 2018 อิเนียสต้า ออกไปหาความท้าทายที่แตกต่างกับสโมสร วิสเซล โกเบ ในศึกเจ ลีก ประเทศญี่ปุ่นจนถึงปัจจุบันและลงเล่นไปแล้ว 39 เกมยิงไป 10 ประตู

กองกลาง : เอแด็น อาซาร์ (เชลซี/เรอัล มาดริด)

นี่คืออีกหนึ่งแข้งตัวรุกอัจฉริยะแห่งยุคอย่างแท้จริง แม้จะโดดเด่นกับการเล่นเป็นปีก แต่ อาซาร์ ก็ทำได้ดีไม่แพ้กัน เมื่อรับบทเป็นตัวรุกที่ยืนอยู่ข้างหลังกองหน้า

ซึ่งเจ้าตัวก็ทำผลงานได้โดดเด่นมาตลอด นับตั้งแต่แจ้งเกิดกับ ลีลล์ ก่อนย้ายไปโชว์ฟอร์มกระฉูดจนกลายเป็นนักเตะแถวหน้าของโลกกับ เชลซี (ปี 2012-2019)

ซึ่งถึงแม้ฟอร์มยังไม่เปรี้ยงหลังย้ายร่วมก๊วน เรอัล มาดริด เมื่อช่วงซัมเมอร์ที่ผ่านมา แต่คงไม่มีใครกล้าปฏิเสธว่า ในรอบทศวรรษนี้ ดาวเตะวัย 28 ปี ทำผลงานได้ยอดเยี่ยมมาก

ไม่ว่าจะเป็นการเล่นให้สโมสรอย่าง เชลซี ที่เจ้าตัวคว้าแชมป์ได้อย่างมากมายทั้งในและนอกประเทศ หรือจะเป็นการรับใช้ทีมชาติเบลเยียม ที่เจ้าตัวเล่นได้ยอดเยี่ยมมาตลอด

โดยเฉพาะในทัวร์นาเมนต์ใหญ่รายการล่าสุดอย่าง ฟีฟ่า เวิลด์ คัพ 2018 ที่ อาซาร์ เป็นกำลังสำคัญช่วยทัพ “ปีศาจแดงแห่งยุโรป” คว้าอันดับสาม

มิดฟิลด์ตัวกลาง : โทนี่ โครส

หากจะเอ่ยถึงผู้เล่นมิดฟิลด์มากความสามารถที่เล่นได้หลากหลายบทบาท แถมมีผลงานโดดเด่นคงเส้นคงวาตลอดช่วงทศวรรษนี้ เชื่อเหลือเกินว่า ชื่อของโทนี่ โครส น่าจะอยู่ในใจ

ของใครหลายๆ คน เพราะเจ้าตัวฉายแววเด่นมาตั้งแต่สมัยอยู่กับ บาเยิร์น มิวนิค (ปี 2007-2014) จนกระทั่งกลายเป็นแข้งระดับเวิลด์คลาสเช่นทุกวันนี้กับ เรอัล มาดริด

เรื่องความสำเร็จในแง่ถ้วยแชมป์ของเจ้าตัวถือว่าเยอะมาก โดยเฉพาะการได้ชูโทรฟี่แชมป์ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ถึง 4 หน (1 ครั้งกับ บาเยิร์น และ 3 ครั้งกับ เรอัล มาดริด)

แต่เหนือสิ่งอื่นใดคือการเป็นกำลังสำคัญช่วยทีมชาติเยอรมนีผงาดคว้าแชมป์โลกมาครองเป็นสมัยที่สี่ เมื่อปี 2014 ทำให้ โครส กลายเป็นนักเตะที่ประสบความสำเร็จอย่างมาก

ทั้งระดับสโมสรและทีมชาติตลอดช่วง 10 ปีมานี้

กองหน้า : คริสเตียโน่ โรนัลโด้ (เรอัล มาดริด/ยูเวนตุส)

ดาวยิงซูเปอร์สตาร์ชาวโปรตุกีสย้ายจาก แมนฯ ยูไนเต็ด มาอยู่กับ เรอัล มาดริด ในปี 2009 ด้วยค่าตัว 80 ล้านปอนด์ ซึ่งเป็นค่าตัวสถิติโลกในเวลานั้น ก่อนจะยิงประตูถล่มทลายพา

“ราชันชุดขาว” โกยแชมป์มากมายอาทิ ลา ลีกา 2 สมัย, โกปา เดล เรย์ 2 สมัย, ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก 4 สมัย โดยตลอด 9 ปี เขาฝากผลงานไว้ที่ 450 ประตู จากการลงเล่นให้ทีมดัง

แดนกระทิงรวมทุกรายการ 438 นัด ซึ่งมีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 1.03 ประตู ต่อเกมเลยทีเดียว พร้อมกลายเป็นผู้เล่นที่ทำประตูได้มากสุดในประวัติศาสตร์ของสโมสร

และซิวรางวัลลูกบอลทองคำได้ถึง 4 ครั้งในช่วงทศวรรษนี้ ส่วนผลงานกับ ยูเวนตุส ตลอดสองปีหลังสุด ซีอาร์เซเว่น ซัดไปแล้ว 10ประตูในเซเรียอา ฤดูกาลนี้

กองหน้า : โรเบิร์ต เลวานดอฟสกี้ (ดอร์ทมุนด์/บาเยิร์น มิวนิค)

ดาวเตะทีมชาติโปแลนด์เริ่มแจ้งเกิดได้กับดอร์ทมุนด์นับตั้งแต่ย้ายมาจาก เลช พอซนาน ในปี 2010 ก่อนจะพัฒนาฝีเท้าจนกลายเป็นหนึ่งในกองหน้าที่ดีสุดในโลกกระหน่ำไป 103 ประตูให้กับ

“เสือเหลือง” ช่วยทีมคว้าแชมป์ บุนเดส ลีกา ได้ 2 ครั้ง จนถูก บาเยิร์น มิวนิค กระชากตัวไปในปี 2014 และกระซวกตาข่ายไปแล้วถึง 221 ประตู ทุกรายการเป็นส่วนสำคัญพาทีมดัง

จากแคว้นบาวาเรียคว้าถาดแชมป์ได้อีก 5 สมัย

กองหน้า : ลิโอเนล เมสซี่ (บาร์เซโลน่า)

ดาวเตะชาวอาร์เจนไตน์รักษาฟอร์มเก่งอย่างต่อเนื่องตลอด 10 ปีที่ผ่านมา ยิงได้ไม่ต่ำกว่า 20 ประตูในลีกมาโดยตลอด นับตั้งแต่ปี 2010 เป็นต้นมาเจ้าตัวช่วยทีมคว้าแชมป์มากมายทั้ง ลา ลีกา 6 สมัย

และ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก อีก 2 ครั้ง พร้อมกับคว้ารางวัลลูกบอลทองคำได้ถึง 5 สมัยมากสุดในช่วงทศวรรษนี้ ถือเป็นการตอกย้ำความเป็นหนึ่งในกองหน้าที่ดีสุดในโลกได้เป็นอย่างดี

 

 

อ่านข่าวฟุตบอล :: ข่าวฟุตบอลน่าสนใจ
ติดตาม Facebook fans page :: Footballdaily365

 

error: Content is protected !!